Napaporn Deebang
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
5 ไอเดียอาหารเช้า ช่วงลดน้ำหนัก
อยากผอม ต้องการลดน้ำหนัก อย่าคิดพึ่งวิธีการอดอาหารเชียวนะ บางคนอาจทรมานตัวเองด้วยการอดมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น แต่มื้อที่คุณขาดไม่ได้เลยนั้นคือมื้อเช้า และนี่คือรายการอาหารเช้าที่ช่วยคุณได้ในช่วงลดน้ำหนัก
1.ข้าวโอ๊ต
เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของมื้อเช้าเลย เหมาะกับคนทุกวัยและทุกรูปร่าง เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดระบบการย่อยในทางเดินอาหาร เรียกได้ว่าเคลียร์พื้นที่ในลำไส้นั่นแหละ ช่วยลดปริมาณระดับคอเลสเตอรอลที่ร่างกายจะได้รับเข้ามา ข้าวโอ๊ตหนึ่งถ้วยใส่นม หรือเติมช็อกโกแลตด้วยเล็กน้อยก็พอช่วยให้คุณอิ่มท้องได้แล้ว คาร์โบไฮเดรตในข้าวโอ๊ตช่วยเติมพลังให้คุณได้โดยที่ไม่มีแคลอรีสูงด้วย
2.ผลไม้สด
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ เติมความสดชื่นด้วยผลไม้สด ๆ ชุ่มฉ่ำ เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายและขจัดสารพิษตกค้าง องุ่นสักพวง แอปเปิ้ลสักลูก หรือกีวีฝาน ช่วยให้ทั้งพลังงานและเติมความสดชื่น กินคู่กับนมหรือกาแฟสักแก้ว ก็จะได้สุดยอดอาหารเช้าไดเอ็ตแล้ว
3.ซีเรียลกับนม
สองคู่หูแสนอร่อย โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ คอร์นเฟล็กซ์กับนมอย่างง่าย ๆ นี้ให้พลังงานกับร่างกายคุณได้แน่นอน โดยไม่เพิ่มไขมันที่คุณย่อมไม่ต้องการ อาจเติมผลไม้ลงไปสักหน่อย เช่น พีช เบอร์รี่ หรือแอปเปิ้ล เป็นอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ที่ดีต่อการไดเอ็ตอย่างมาก
4.สลัดผัก
เหมาะกับช่วงหน้าร้อนอาจเป็นเมนูที่น่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ก็ไร้ไขมันส่วนเกินนะ กินคู่กับผลไม้และนมสักหน่อยก็ช่วยให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงได้ การกินผักสดตั้งแต่หัววันเป็นเรื่องดีมาก เพราะเป็นการเปิดทางให้ระบบย่อยอาหารนั้นโล่งสะดวก พร้อมรับอาหารในตลอดทั้งวันที่เหลือ
5.มิลค์เชค
นม ชา หรือกาแฟปั่นนั้น เหมาะกับคนที่ชอบดื่มพวกชา และกาแฟมาก เพราะให้แคลอรีค่อนข้างสูงพอที่จะเติมพลังให้คุณ แต่ต้องคอยควบคุมน้ำตาล อย่าให้หวานเกินไปล่ะ เพราะจะกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้
1.ข้าวโอ๊ต
เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของมื้อเช้าเลย เหมาะกับคนทุกวัยและทุกรูปร่าง เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดระบบการย่อยในทางเดินอาหาร เรียกได้ว่าเคลียร์พื้นที่ในลำไส้นั่นแหละ ช่วยลดปริมาณระดับคอเลสเตอรอลที่ร่างกายจะได้รับเข้ามา ข้าวโอ๊ตหนึ่งถ้วยใส่นม หรือเติมช็อกโกแลตด้วยเล็กน้อยก็พอช่วยให้คุณอิ่มท้องได้แล้ว คาร์โบไฮเดรตในข้าวโอ๊ตช่วยเติมพลังให้คุณได้โดยที่ไม่มีแคลอรีสูงด้วย
2.ผลไม้สด
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ เติมความสดชื่นด้วยผลไม้สด ๆ ชุ่มฉ่ำ เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายและขจัดสารพิษตกค้าง องุ่นสักพวง แอปเปิ้ลสักลูก หรือกีวีฝาน ช่วยให้ทั้งพลังงานและเติมความสดชื่น กินคู่กับนมหรือกาแฟสักแก้ว ก็จะได้สุดยอดอาหารเช้าไดเอ็ตแล้ว
3.ซีเรียลกับนม
สองคู่หูแสนอร่อย โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ คอร์นเฟล็กซ์กับนมอย่างง่าย ๆ นี้ให้พลังงานกับร่างกายคุณได้แน่นอน โดยไม่เพิ่มไขมันที่คุณย่อมไม่ต้องการ อาจเติมผลไม้ลงไปสักหน่อย เช่น พีช เบอร์รี่ หรือแอปเปิ้ล เป็นอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ที่ดีต่อการไดเอ็ตอย่างมาก
4.สลัดผัก
เหมาะกับช่วงหน้าร้อนอาจเป็นเมนูที่น่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ก็ไร้ไขมันส่วนเกินนะ กินคู่กับผลไม้และนมสักหน่อยก็ช่วยให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงได้ การกินผักสดตั้งแต่หัววันเป็นเรื่องดีมาก เพราะเป็นการเปิดทางให้ระบบย่อยอาหารนั้นโล่งสะดวก พร้อมรับอาหารในตลอดทั้งวันที่เหลือ
5.มิลค์เชค
นม ชา หรือกาแฟปั่นนั้น เหมาะกับคนที่ชอบดื่มพวกชา และกาแฟมาก เพราะให้แคลอรีค่อนข้างสูงพอที่จะเติมพลังให้คุณ แต่ต้องคอยควบคุมน้ำตาล อย่าให้หวานเกินไปล่ะ เพราะจะกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้
สำหรับชาวไทยจะมีคำพูดติดปากว่า มังคุดคือราชินีแห่งผลไม้ และทุเรียนคือราชาแห่งผลไม้มายาวนาน แต่สำหรับพวกฝรั่งแล้วเค้ายกให้มะม่วง เป็นราชาแห่งผลไม้...
มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ไม่สูงและเป็นแห่งรวมของเบตาแครอทีน, วิตามินและโพแทสเซียมซึ่งมีประโยชน์กับร่างกายและสุขภาพของเรา ชาวอเมริกันชอบมะม่วงมาก เพราะฤดูกาลของมะม่วงจะมีแค่เดือนพฤษภาคมและมิถุนายนการ รับประทานมะม่วงสุกจะทำให้ได้รสชาติหวานสดชื่น มะม่วงที่สุกงอมได้ที่จะมีกลิ่นหอมและรสชาติดีมาก แต่ถ้าไม่สามารถหาซื้อมะม่วงสุกได้ ท่านก็สามารถซื้อมะม่วงดิบที่ยังเป็นสีเขียวมาเก็บไว้ที่บ้าน และทิ้งไว้รอเวลาสุกงอม - เทคนิคในการบ่มมะม่วงให้สุกของพวกเขาคือนำมะม่วงใส่ไว้ในถุงกระดาษรวมกับ แอปเปิ้ล เพื่อรักษาอุณหภูมิให้พอเหมาะ การหั่นมะม่วงสุก ควรหั่นมาตามแนวยาวของเมล็ดก่อนแล้วจึงหั่นแบ่งเป็นชิ้นย่อยๆอีกครั้ง หั่นแบบนี้กับมะม่วงทั้งสองฝั่ง มิฉะนั้นแล้วถ้าท่านตามแนวขวางของผลมะม่วงก่อน จะทำให้มะม่วงที่ท่านหั่นออกมาเละสำหรับคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงนั้นมีมากมาย เรามาดูกันว่ามะม่วงมีประโยชน์อะไรบ้างสรรพคุณทางยา :มะม่วงดิบ : มะม่วงดิบสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้และวิงเวียนศีรษะได้ และยังช่วยลดอาการกระหายน้ำมะม่วงสุก : มะม่วงสุกเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดอาการท้องอืดสำหรับข้อมูลที่น่าสนใจจากสูตรสมุนไพรไทย เปลือกมะม่วงดิบ สามารถนำมาคั่วกับน้ำตาลรับประทานแก้อาการปวดเมื่อยเมื่อมีประจำเดือน แก้ปวดประจำเดือนได้อีกด้วย |
วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี ๑๗๔/๒๕๕๕
ระดมความคิดใบประกอบวิชาชีพครูสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบปริญญาทางการศึกษา
ระดมความคิดใบประกอบวิชาชีพครูสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบปริญญาทางการศึกษา
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา - ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมระดมความคิด เรื่อง "แนวทางการได้มาซึ่งใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบปริญญาทางด้านการศึกษา" เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่ห้องประชุมกำแหง พลางกูร
รมว.ศธ. กล่าวว่า ได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณารายละเอียดการปรับแก้ พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๖ มาตรา ๔๔ (ก)(๓) ที่กำหนดคุณสมบัติผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพควบคุม ต้องผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑ ปี และผ่านเกณฑ์การประเมินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตาม ที่คุรุสภากำหนด ทั้งนี้เพื่อเปิดช่องให้ผู้ที่จบสาขาวิชาชีพอื่น เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ที่มีความรู้สามารถเป็นครูได้ โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเรียนปริญญาด้านการศึกษาอีก ๑ ปี
นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ปัญหาขาดครูโดยเฉพาะในสาขาวิชาขาดแคลน ส่วนหนึ่งมาจาก พ.ร.บ.สภาครูฯ ได้กำหนดให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพควบคุมที่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ดังนั้น รมว.ศธ.จึงต้องการเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.สภาครูฯ เพื่อเปิดโอกาสให้คนดี คนเก่งเข้ามาประกอบวิชาชีพครูได้ โดยเฉพาะมาตรา ๔๔ (ก)(๓) ที่ต้องปรับแก้ เพื่อเปิดช่องให้คณะกรรมการคุรุสภากำหนดคุณสมบัติผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูให้แตกต่างจากข้อบังคับเดิมได้ หากมีเหตุผล และความจำเป็น หรือหากแก้กฎหมายไม่ได้ เพราะอาจมีขั้นตอนยุ่งยาก และต้องใช้เวลานาน ก็อาจจะออกเป็นกฎ หรือประกาศ ศธ.เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ซึ่งสภาการศึกษาจะรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานและบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอ รมว.ศธ.ภายใน ๑ เดือน
สำหรับมาตราที่เกี่ยวข้องในการปรับแก้ พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๖ มีดังนี้
- มาตรา ๔๔ ได้กำหนดให้ผู้ขอใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพควบคุม ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีบริบูรณ์ (๒) มีวุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง และ (๓) ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑ ปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด โดยลักษณะต้องห้าม มีดังนี้ (๑) เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี (๒) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๓) เคยต้องโทษจำคุกในคดีที่คุรุสภาเห็นว่าอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
- มาตรา ๔๕ การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การกำหนดใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของคุรุสภา ซึ่งผู้ขอรับใบอนุญาต ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตหรือผู้ขอรับใบแทนใบอนุญาต ซึ่งคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพพิจารณาวินิจฉัยไม่ออกใบอนุญาต ไม่ต่ออายุใบอนุญาต หรือไม่ออกใบแทนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง อาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการคุรุสภาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการไม่ต่อใบอนุญาต หรือการไม่ออกใบแทนใบอนุญาตไม่ตัดสิทธิผู้ขอที่จะประกอบวิชาชีพที่ได้รับอนุญาตต่อไป ทั้งนี้ จนกว่าคณะกรรมการคุรุสภาจะได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุด
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
เริ่มแล้ว! โครงการ 'ไข่แลกยาเก่า' สธ.หวังคนไทยใช้ยาลดลง
สธ.ผุดโครงการ "ไข่แลกยาเก่า" เริ่ม ก.ค. 55 อัดฉีดงบจังหวัดละ 100,000 บาท หวังส่งเสริมให้ประชาชนใช้ยาลดลง หลังพบข้อมูลคนไทยใช้ยาเฉลี่ยปีละ 100,000 ล้านบาท...
เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 55 นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการไข่แลกยาเก่าว่า ขณะนี้มีความคืบหน้า โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมเจ้าหน้าที่ และได้จัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในโครงการนี้จังหวัดละ 100,000 บาท โดยได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกสำรวจตามบ้านต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ และจะเริ่มเปิดรับแลกยาในวันที่ 2–5 ก.ค. 2555 พร้อมกันที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศ รวมกว่า 10,000 แห่ง
นายวิทยา กล่าวว่า ยาเก่าที่จะแลกไข่ครั้งนี้ ประชาชนสามารถนำยาแผนปัจจุบันทุกชนิด ทั้งชนิดที่ซื้อเอง หรือได้รับจากสถานพยาบาลต่างๆ ทั้งรัฐหรือเอกชน ไม่รวมยาสมุนไพร โดยจะแจกไข่คืนแก่บ้านที่นำยาเก่าไปแลก ให้ครอบครัวละ 5 ฟองเป็นอย่างน้อย ทำอาหารได้ 1-2 มื้อ ไข่ที่แลกขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของพื้นที่ บางแห่งอาจเป็นไข่ไก่ ไข่เป็ด หรือไข่เค็ม หากไม่มีไข่ อาจจะเป็นมะนาวก็ได้ วัตถุประสงค์หลักของโครงการไข่แลกยาเก่านี้ เพื่อรณรงค์ประชาชนให้มีความตระหนักในการใช้ยา และใช้ยาให้เกิดประสิทธิภาพต่อการรักษาอาการเจ็บป่วย
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดคนไทยพบใช้ยาเฉลี่ยปีละ 100,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้จะทำให้ทราบถึงขนาดปัญหาการใช้ยาของคนไทย ว่ามียาเหลือใช้ตกค้างตามบ้านเรือนจำนวนเท่าใด และวิธีการเก็บรักษา โดยมอบหมายให้ นพ.นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบบริหารจัดการ และจะประเมินผลกลางเดือน ก.ค. 2555
ด้าน นพ.นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ยาเก่าที่รับคืนทั้งหมด จะให้เภสัชกรของโรงพยาบาลต่างๆ เป็นผู้วิเคราะห์ คัดแยก โดยยาเก่าที่หมดอายุแล้วจะรวบรวมส่งไปที่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลาย และขั้นต่อไปในปีหน้ากระทรวงสาธารณสุขจะปรับระบบบริหารจัดการยาให้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยรณรงค์ให้ประชาชนใช้ยาดีและมีคุณภาพตามนโยบายรัฐบาล โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ให้ความรู้เรื่องยาและปรับแก้พฤติกรรมการกินยาของประชาชน มีระบบการปรึกษาปัญหาการใช้ยาทั้งยาแผนปัจจุบันและเพิ่มการให้ความรู้ยาสมุนไพร ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขซึ่งเป็นหมอประจำครอบครัว ดูแลคนละ 300 ครัวเรือน ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขฯ (อสม.) ติดตามดูแลเรื่องการใช้ยาเหล่านี้ด้วยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เพิ่มความคุ้มค่าการใช้ยายิ่งขึ้น
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า สาเหตุที่มียาเก่าเหลือตกค้างตามบ้านเรือนมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ 1. การซื้อยากินเอง กินแล้วอาการไม่หาย 2. นำยาของคนอื่นที่ที่มีอาการป่วยคล้ายกันมาใช้แทน 3. เก็บยาไม่ถูกต้อง ทำให้ยาเสื่อมสภาพ 4. ประชาชนไม่ดูวันหมดอายุยา 5. ลืมกินยา 6. รักษาหลายโรงพยาบาลทำให้รับยาหลายขนานซ้ำซ้อน และ 7. ประชาชนพึ่งยามากกว่าพึ่งตนเอง เพราะเชื่อว่าหากป่วยแล้วมียารักษา.
เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 55 นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการไข่แลกยาเก่าว่า ขณะนี้มีความคืบหน้า โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมเจ้าหน้าที่ และได้จัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในโครงการนี้จังหวัดละ 100,000 บาท โดยได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกสำรวจตามบ้านต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ และจะเริ่มเปิดรับแลกยาในวันที่ 2–5 ก.ค. 2555 พร้อมกันที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศ รวมกว่า 10,000 แห่ง
นายวิทยา กล่าวว่า ยาเก่าที่จะแลกไข่ครั้งนี้ ประชาชนสามารถนำยาแผนปัจจุบันทุกชนิด ทั้งชนิดที่ซื้อเอง หรือได้รับจากสถานพยาบาลต่างๆ ทั้งรัฐหรือเอกชน ไม่รวมยาสมุนไพร โดยจะแจกไข่คืนแก่บ้านที่นำยาเก่าไปแลก ให้ครอบครัวละ 5 ฟองเป็นอย่างน้อย ทำอาหารได้ 1-2 มื้อ ไข่ที่แลกขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของพื้นที่ บางแห่งอาจเป็นไข่ไก่ ไข่เป็ด หรือไข่เค็ม หากไม่มีไข่ อาจจะเป็นมะนาวก็ได้ วัตถุประสงค์หลักของโครงการไข่แลกยาเก่านี้ เพื่อรณรงค์ประชาชนให้มีความตระหนักในการใช้ยา และใช้ยาให้เกิดประสิทธิภาพต่อการรักษาอาการเจ็บป่วย
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดคนไทยพบใช้ยาเฉลี่ยปีละ 100,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้จะทำให้ทราบถึงขนาดปัญหาการใช้ยาของคนไทย ว่ามียาเหลือใช้ตกค้างตามบ้านเรือนจำนวนเท่าใด และวิธีการเก็บรักษา โดยมอบหมายให้ นพ.นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบบริหารจัดการ และจะประเมินผลกลางเดือน ก.ค. 2555
ด้าน นพ.นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ยาเก่าที่รับคืนทั้งหมด จะให้เภสัชกรของโรงพยาบาลต่างๆ เป็นผู้วิเคราะห์ คัดแยก โดยยาเก่าที่หมดอายุแล้วจะรวบรวมส่งไปที่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลาย และขั้นต่อไปในปีหน้ากระทรวงสาธารณสุขจะปรับระบบบริหารจัดการยาให้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยรณรงค์ให้ประชาชนใช้ยาดีและมีคุณภาพตามนโยบายรัฐบาล โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ให้ความรู้เรื่องยาและปรับแก้พฤติกรรมการกินยาของประชาชน มีระบบการปรึกษาปัญหาการใช้ยาทั้งยาแผนปัจจุบันและเพิ่มการให้ความรู้ยาสมุนไพร ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขซึ่งเป็นหมอประจำครอบครัว ดูแลคนละ 300 ครัวเรือน ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขฯ (อสม.) ติดตามดูแลเรื่องการใช้ยาเหล่านี้ด้วยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เพิ่มความคุ้มค่าการใช้ยายิ่งขึ้น
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า สาเหตุที่มียาเก่าเหลือตกค้างตามบ้านเรือนมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ 1. การซื้อยากินเอง กินแล้วอาการไม่หาย 2. นำยาของคนอื่นที่ที่มีอาการป่วยคล้ายกันมาใช้แทน 3. เก็บยาไม่ถูกต้อง ทำให้ยาเสื่อมสภาพ 4. ประชาชนไม่ดูวันหมดอายุยา 5. ลืมกินยา 6. รักษาหลายโรงพยาบาลทำให้รับยาหลายขนานซ้ำซ้อน และ 7. ประชาชนพึ่งยามากกว่าพึ่งตนเอง เพราะเชื่อว่าหากป่วยแล้วมียารักษา.
ขยายขั้นวิ่งเงินเดือนครู
ชง ครม.เอาใจคุณครู เพิ่ม "ขั้นวิ่ง" เงินเดือนบุคลากรการศึกษาคาด 1 หมื่นรายได้ประโยชน์
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 3 ก.ค.นี้ กระทรวงศึกษาธิการจะเสนอ ครม.ให้อนุมัติหลักการ ร่างกฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่า หรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ(ฉบับที่...) พ.ศ. ....
สาระสำคัญร่างกฎ ก.ค.ศ.ดังกล่าวกำหนดให้ครูหรือบุคลากรการศึกษาที่ได้เงินเดือนระดับ คศ.2 คศ.3 และ คศ.4 ได้ปรับฐานอัตราเงินเดือนขั้นสูงเพิ่มขึ้น ดังนี้คศ.2 ปรับเพิ่มจาก 37,830 บาทต่อเดือน เป็น 37,900 บาทต่อเดือน ระดับ คศ.3 ปรับขึ้นจาก 53,080 บาทต่อเดือน เป็น53,820 บาทต่อเดือน ระดับ คศ.4 ปรับขึ้นจาก 62,760 บาทต่อเดือน เป็น 62,820 บาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ปัจจุบันระบบข้าราชการครูได้ยกเลิกระบบ "ซี" ไปแล้ว และกำหนดให้มีแท่งเงินเดือนขึ้นมาแทน เรียกว่า คศ.มีทั้งหมด 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มครูผู้ช่วย 2.กลุ่มครูทั่วไป เรียกว่า คศ.1 3.กลุ่มครูชำนาญการ เรียกว่า คศ.2 4.กลุ่มครูชำนาญการพิเศษ เรียกว่า คศ.3 5.กลุ่มครูเชี่ยวชาญ เรียกว่า คศ.4 และ 6.กลุ่มครูเชี่ยวชาญพิเศษ เรียกว่า คศ.5
ทั้งนี้ ปัจจุบันระบบข้าราชการครูได้ยกเลิกระบบ "ซี" ไปแล้ว และกำหนดให้มีแท่งเงินเดือนขึ้นมาแทน เรียกว่า คศ.มีทั้งหมด 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มครูผู้ช่วย 2.กลุ่มครูทั่วไป เรียกว่า คศ.1 3.กลุ่มครูชำนาญการ เรียกว่า คศ.2 4.กลุ่มครูชำนาญการพิเศษ เรียกว่า คศ.3 5.กลุ่มครูเชี่ยวชาญ เรียกว่า คศ.4 และ 6.กลุ่มครูเชี่ยวชาญพิเศษ เรียกว่า คศ.5
อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราเงินเดือนระดับ คศ.ทั้ง 3 ระดับ เพิ่มขึ้นคิดเป็นไม่ถึง 0.01% แต่ต้องปรับเพื่อทำให้ขั้นวิ่งของเงินเดือนข้าราชการครูระดับสูงที่เงินเดือนตันแล้ว ได้มีขั้นวิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ข้าราชการครู โดยจะมีครูได้ประโยชน์กว่า 1 หมื่นคน
นอกจากนี้ ร่าง ก.ค.ศ.ยังกำหนดอัตราเงินเดือนของครูผู้ช่วย และข้าราชการครูและบุคลากรการศึกษาที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะสูงขึ้น โดยให้ได้เงินเดือนในขั้นหรืออัตราที่กำหนด
วิธีขจัดคราบโรออนที่ติดใต้วงแขนเสื้อ
1.ละลายเกลือกับน้ำ เอาแบบเค็มสุดๆ ไปเลย น้ำไม่ต้องมากนะคะประมาณถ้วยน้ำพริกเล็กๆแต่ผสมกัน แล้วให้เค็มๆ ก็ำพอ น้ำมากก็เปลืองเกลือค่ะ เพราะเราใช้แค่เฉพาะจุดที่เป็น
2.นำบริเวณที่เป็นคราบจุ่มลงไปในน้ำเกลือ ขยี้พอให้น้ำเกลือซึมเข้าไปในเนื้อผ้าทุกอนู
3.แล้วตามด้วยน้ำยาล้างจานทันที (บีบใส่ลงไปเลยแบบเข้มข้น)
4.แล้วขยี้หรือแปรงก็ได้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ (จุ่มน้ำเกลือแล้วบีบน้ำยาล้างจานใส่) คราบจะออกไปเกือบ 100% เลยทีเดียว สูตรนี้คิดค้นเอง ลองแล้ว เห็นผลจริงๆ บอกมาเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ทุกคนค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)